กรณีศึกษาที่
2: หอส่งสัญญาณที่สูงที่สุดในโลก
- อาคารโตเกียว สกาย ทรี (Tokyo Sky Tree Tower) ประเทศญี่ปุ่น
ภาพที่ 6.3.2.1
อาคาร Tokyo Sky Tree
ที่มา : (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2555) |
1.รายละเอียดอาคาร
อาคารมีความสูงอยู่ที่ 634 เมตร โดยจากระดับพื้นดินจนถึงความสูงที่ประมาณ
300 เมตร โครงสร้างอาคารเมื่อมองจากมุมบน (Plan
View) จะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม จากนั้นตั้งแต่ระดับ 300
เมตรขึ้นไปจนถึงประมาณ 500 เมตร
จะมีรูปร่างเป็นวงกลมและตั้งแต่ระดับ 500 เมตรขึ้นไปจนถึงยอดอาคารมีลักษณะเป็นวงกลมเช่นกันแต่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า
“Antenna Tower”
2.การปรับแต่งรูปทรงอาคาร
3.การเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง
- โครงสร้างหลัก
โครงสร้างของ Tokyo Sky Tree เป็นโครงสร้างระบบผสม (Composite System) ระหว่างระบบโครงสร้างเหล็กที่มีลักษณะการวางเสาที่ถี่และมีคานยึดเสาเข้าด้วยกันและยังมีโครงถักสานกันอยู่รอบนอกอีกด้วยทั้งหมดนี้เรียกระบบว่า
“Bundled Tube”
และอีกระบบคือระบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่เป็นแกนกลาง (Reinforced
Concrete Core) และใช้โครงถักกระจายแรงจากปล่องลิฟต์ไปยังขอบนอกอาคารเรียกระบบนี้ว่า
“Belt truss Outrigger” สามารถใช้สำหรับเป็นช่องลิฟต์และบันได
ภาพที่ 6.3.2.3
ที่มา : http://usi.kir.jp/TCO/Data/CIA/TOBUWorldSquare/ สืบค้นเมื่อ
17 พฤษภาคม 2555ลักษณะ Belt truss Outrigger ของ Tokyo Sky Tree |
- โครงสร้างย่อย
วัสดุที่นำมาใช้สำหรับงานโครงสร้างของอาคารมีทั้งงานโครงสร้างเหล็กและคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยเฉพาะเหล็กโครงสร้างเป็นเหล็กเกรดพิเศษ (High Strength
Grade) โดยกำลังวัสดุเฉลี่ยจะอยู่ที่ 400 –
500 N/mm2 แต่สำหรับส่วนบนของอาคาร Antenna
Tower จะใช้เกรดที่สูงกว่าถึง 780N/mm2 ซึ่งเป็นเกรดที่สูงสุดที่เคยผลิตในญี่ปุ่น โดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางท่อเหล็กที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้อยู่ที่
2.30 เมตร และมีความหนาถึง 10 เซนติเมตร
ในส่วนฐานรากชนิดที่เรียกว่า Continuous Subterranean Wall
Pile โดยเรียกว่า Knucklewall ซึ่งจะมีส่วนที่เรียกว่า Nodules เพิ่มขึ้น เพื่อต้านทานแรงกดและแรงดึงขึ้น (Compressive
Force and Uplift Force) ซึ่งเกิดจากแรงลมและแรงแผ่นดินไหวนั่นเอง
|
|
4.การใช้ตัวหน่วง
เนื่องด้วย Tokyo Sky Tree เป็นอาคารสูงระฟ้าที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ได้ชื่อว่ามีความเสี่ยงต่อแรงด้านข้างสูง
ทำให้มีการนำอุปกรณ์ควบคุมการสั่นสะเทือนประเภท Oil Damper เข้ามาติดตั้งร่วมด้วย
ซึ่งแนวทางดังกล่าวนอกจากจะช่วยควบคุมการเสียรูปของโครงสร้างเมื่อได้รับแรงทางด้านข้างแล้ววิธีการดังกล่าวยังช่วยลดแรงเฉือนที่ฐานได้สูงสุดถึง
40% ในขณะที่เกิดแรงด้านข้างอีกด้วย
ภาพที่ 6.3.2.6
ระบบรับแรงด้านข้างของ Tokyo Sky Tree
ที่มา: Nikken Sekkei Ltd., Tokyo Sky
Tree, Steel Construction Today and Tomorrow, Nov 2010
|